หากพูดถึงการลดหย่อนภาษี เชื่อว่ามนุษย์เงินเดือนต้องคุ้นเคยเป็นอย่างดี เพราะด้วยหน้าที่ที่ต้องยื่นแบบและชำระภาษีเงินได้ทุกปีอยู่แล้ว แต่หลายๆ คนอาจจะยังไม่เห็นความสำคัญ หรืออาจจะมองข้ามประโยชน์ของค่าลดหย่อนภาษีไป ซึ่งต้องบอกเลยว่า อาจจะกลายเป็นข้อผิดพลาดในการวางแผนภาษีในแต่ละปี
การคำนวณเงินได้สุทธินั้นสามารถคิดคำนวนได้แบบง่ายๆ คือ
เงินได้สุทธิ = (รายได้รวมต่อปี – ค่าใช้จ่าย) – ค่าลดหย่อน
ซึ่ง “เงินได้สุทธิ” ก็คือจำนวนเงินที่จะนำมาคำนวณภาษี หากมีค่าลดหย่อนและค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่นำมาหักออกจากรายได้ ก็ยิ่งช่วยให้สามารถประหยัดภาษีที่ต้องจ่ายในแต่ละปีลงได้ ดังนั้นการวางแผนภาษีจึงควรเริ่มวางแผนตั้งแต่ช่วงต้นปี เพื่อให้สามารถประหยัดภาษีที่ต้องจ่ายในแต่ละปีได้มากที่สุด
โดยสิ่งที่ควรรู้อันดับแรกก็คือ ใช้อะไรลดหย่อนภาษีได้บ้าง และรายจ่ายใดบ้างที่กฎหมายกำหนดให้ผู้มีเงินได้สามารถนำมาคิดคำนวณ และหักออกจากรายได้ในแต่ละปีได้
1. สิทธิลดหย่อนส่วนตัว และครอบครัว
- สิทธิลดหย่อนสำหรับผู้มีเงินได้ : ผู้มีเงินได้ สามารถใช้สิทธิลดหย่อนค่าใช้จ่ายสำหรับตนเองได้จำนวน 60,000 บาท ซึ่งเป็นสิทธิพื้นฐานของการลดหย่อนภาษีที่ทุกคนได้รับ
- สิทธิลดหย่อนสำหรับคู่สมรส : ผู้คู่สมรสที่จดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมาย และเป็นผู้ที่ไม่มีรายได้ สามารถนำมาใช้สิทธิลดหย่อนได้จำนวน 60,000 บาท แต่กรณีที่คู่สมรสเป็นผู้มีเงินได้ สามารถเลือกยื่นภาษีแยกหรือรวมกันได้
- สิทธิลดหย่อนสำหรับบุตรชอบด้วยกฎหมาย : บุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของตนเอง หรือคู่สมรส จะได้รับสิทธิลดหย่อนคนละ 30,000 บาท กรณีบุตรคนที่ 2 เป็นต้นไป ที่เกิดตั้งแต่ปี 2561 สามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้เพิ่มอีกคนละ 30,000 บาท โดยบุตรแต่ละคนจะต้องมีรายได้ในปีภาษีนั้นไม่เกิน 30,000 บาท และต้องมีอายุไม่ถึง 20 ปี หรือหากอายุไม่เกิน 25 ปี แต่ยังศึกษาอยู่ระดับอนุปริญญาหรือปริญญาตรีขึ้นไป รวมถึงหลักสูตรเนติบัณฑิต หรือเป็นผู้ที่ศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ หรือเสมือนไร้ความสามารถ ก็สามารถนำมาใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้
- สิทธิลดหย่อนสำหรับบุตรบุญธรรม : บุตรบุญธรรมที่จดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมถูกต้องตามกฎหมาย สามารถนำมาลดหย่อนได้คนละ 30,000 บาท สูงสุดได้ไม่เกิน 3 คน และบุตรบุญธรรมต้องมีรายได้ในปีภาษีนั้นไม่เกิน 30,000 บาท
ทั้งนี้ หากผู้มีเงินได้มีบุตรชอบด้วยกฎหมายด้วย จะต้องใช้สิทธิลดหย่อนส่วนนี้ก่อน หากใช้ครบ 3 คนแล้ว จะไม่สามารถใช้สิทธิลดหล่อนของบุตรบุญธรรมได้อีก - ค่าฝากครรภ์และค่าคลอดบุตร : ค่าฝากครรภ์และค่าคลอดบุตร สามารถนำมาลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 60,000 บาทต่อการตั้งครรภ์ หากเป็นการตั้งครรภ์แฝด จะนับเป็น 1 การตั้งครรภ์เท่านั้น โดยจะต้องมีเอกสารมาแสดง คือ ใบรับรองแพทย์ที่แสดงความเห็นว่ามีภาวะตั้งครรภ์ และใบเสร็จรับเงินหรือหลักฐานอื่น ๆ ที่ได้จ่ายให้สถานพยาบาล ใช้สิทธิได้ทั้งโรงพยาบาลรัฐและเอกชน
- สิทธิลดหย่อนสำหรับอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา : บิดา มารดา ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป สามารถนำมาลดหย่อนได้คนละ 30,000 บาท โดยบิดา มารดาต้องมีรายได้ในปีภาษีนั้นไม่เกิน 30,000 บาท และในกรณีที่ยื่นรายได้รวมกับคู่สมรส สามารถนำบิดาและมารดาของคู่สมรสมาหักลดหย่อนได้ด้วย สูงสุดคือ 4 คน
ทั้งนี้มีเงื่อนไขเพิ่มเติม คือ หากในครอบครัวมีบุตรหลายคนที่อุปการะบิดาหรือมารดา บุตรแต่ละคนจะสามารถใช้สิทธิลดหย่อนบิดา มารดาได้เพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่สามารถใช้ซ้ำซ้อนได้ และต้องมีหนังสือรับรองการหักลดหย่อนค่าอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา (ล.ย.03) ส่วนบุตรบุญธรรมไม่มีสิทธิหักลดหย่อนในส่วนนี้ - สิทธิลดหย่อนสำหรับเบี้ยประกันสุขภาพบิดามารดา : สิทธิลดหย่อนนี้สามารถใช้สิทธิได้ทั้งบิดามารดาของตนเอง และคู่สมรส โดยจะได้สิทธิลดหย่อนตามจริง แต่เมื่อนำค่าเบี้ยประกันสุขภาพรวมกัน ทั้งของบิดาและมารดาต้องไม่เกิน 15,000 บาท โดยบิดา มารดาจะต้องมีรายได้ในปีภาษีนั้นไม่เกิน 30,000 บาท และบุตรบุญธรรมไม่มีสิทธิลดหย่อนภาษีในส่วนนี้เช่นกัน
- สิทธิลดหย่อนสำหรับเบี้ยประกันชีวิตและประกันชีวิตแบบบำนาญของคู่สมรส : หากในปีภาษีนั้น ๆ คู่สมรสไม่มีรายได้ สามารถนำเบี้ยประกันของคู่สมรสมาลดหย่อนภาษีได้สูงสูด 10,000 บาท
- สิทธิลดหย่อนสำหรับอุปการะเลี้ยงดูคนพิการ หรือคนทุพพลภาพ : หากผู้มีเงินได้อุปการะเลี้ยงดูคนพิการ/ทุพพลภาพมาแล้วไม่น้อยกว่า 180 วัน โดยคนพิการ/ทุพพลภาพนั้น มีรายได้ในปีภาษีนั้นไม่เกิน 30,000 บาท มีบัตรประจำตัวผู้พิการ และผู้มีเงินได้มีหนังสือรับรองการเป็นผู้อุปการะจะได้รับสิทธิลดหย่อน 60,000 บาท
กรณีผู้พิการ/ทุพพลภาพ เป็นบิดา มารดา คู่สมรส หรือบุตร จะได้รับสิทธิลดหย่อนทั้ง 2 ส่วน และได้รับสิทธิทุกคนโดยไม่จำกัด แต่หากไม่ได้มีความสัมพันธ์นี้กับผู้มีเงินได้ จะได้รับสิทธิลดหย่อนเพียงแค่ 1 คนเท่านั้น
2. สิทธิลดหย่อนจากการออม การลงทุน และประกันชีวิต
- เงินสมทบกองทุนประกันสังคม : เงินสมทบกองทุนประกันสังคม สามารถแบ่งได้ตามมาตรา คือ
มาตรา 33 หักได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 9,000 บาท (มนุษย์เงินเดือน)
มาตรา 39 หักได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 5,184 บาท
มาตรา 40 หักได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 840 (ทางเลือกที่ 1), 1,200 (ทางเลือกที่ 2) และ 3,600 (ทางเลือกที่ 3) - เงินสะสมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD), กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) หรือกองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน : สามารถนำมาหักได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15% ของรายได้ เฉพาะของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ สามารถลดหย่อนได้สูงสุด 30% ของรายได้ และเมื่อรวมกับการออมและกองทุนเพื่อการเกษียณอายุอื่น ๆ* แล้ว ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
- เงินสะสมกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) : กองทุนนี้เป็นกองทุนสำหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระเท่านั้น สามารถหักได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 30,000 บาท และเมื่อรวมกับการออมและกองทุนเพื่อการเกษียณอายุอื่น ๆ* แล้ว ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
- เบี้ยประกันชีวิต และเบี้ยประกันแบบสะสมทรัพย์ : สามารถลดหย่อนตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 100,000 บาท และต้องเป็นประกันชีวิตที่ทำกับบริษัทประกันชีวิตในประเทศไทยเท่านั้น และกรมธรรม์ต้องมีกำหนดเวลา 10 ปีขึ้นไป โดยหากมีผลประโยชน์ตอบแทนคืนทุกปี (ไม่รวมเงินปันผลตามกรมธรรม์) ต้องไม่เกินร้อยละ 20 ของเบี้ยประกันชีวิตรายปี
- เบี้ยประกันสุขภาพ : สามารถลดหย่อนตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 25,000 บาท และเมื่อรวมกับเบี้ยประกันชีวิตและเบี้ยประกันแบบสะสมทรัพย์แล้ว จะต้องไม่เกิน 100,000 บาท
- เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ : สามารถลดหย่อนได้ตามจริง สูงสุด 15% ของรายได้ แต่ต้องไม่เกิน 200,000 บาท และต้องเป็นประกันชีวิตที่ทำกับบริษัทประกันชีวิตในประเทศไทยเท่านั้น และกรมธรรม์ต้องมีกำหนดเวลา 10 ปีขึ้นไป และเมื่อรวมกับการออมและกองทุนเพื่อการเกษียณอายุอื่น ๆ* แล้ว ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
ทั้งนี้กรณีที่ผู้มีเงินได้ไม่ได้ทำประกันชีวิตแบบทั่วไป จะสามารถนำเบี้ยประกันแบบบำนาญไปหักลดหย่อนในส่วนนี้ได้ก่อน หรือหากใช้เบี้ยประกันชีวิตลดหย่อนไปแล้ว แต่ยังไม่เกิน 100,000 บาท ก็สามารถนำเบี้ยประกันแบบบำนาญไปหักให้เต็มจำนวน 100,000 บาทได้ก่อน ส่วนที่เหลือจะสามารถนำมาใช้สิทธิลดหย่อนได้เพิ่มอีกสูงสุด 15% ของรายได้ - เงินลงทุนธุรกิจวิสาหกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) : สามารถลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท ซึ่งจะต้องลงทุนในธุรกิจ หรือลงทุนในหุ้นของธุรกิจที่ได้จดทะเบียนเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคม ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ. 2562 ซึ่งหากเป็นการลงทุนในหุ้น จะต้องถือหุ้นของวิสาหกิจเพื่อสังคมนั้น ๆ จนกว่าจะเลิกกิจการ
- ค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) : ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกินร้อยละ 30 ของรายได้ และต้องไม่เกิน 500,000 บาท และเมื่อรวมกับการออมและกองทุนเพื่อการเกษียณอายุอื่นๆ* แล้ว ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
- ค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) : ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกินร้อยละ 30 ของรายได้** และสุงสุดไม่เกิน 200,000 บาท และเมื่อรวมกับการออมและกองทุนเพื่อการเกษียณอายุอื่นๆ* แล้ว ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
**อัปเดตข้อมูลเดือนมีนาคม 2567 จะสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้จนถึงปี 2567 - ค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) : การลงทุนในกองทุน Thai ESG ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2567 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2569 สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ไม่เกินร้อยละ 30 ของรายได้ และสูงสุดต้องไม่เกิน 300,000 บาท
*กองทุนเพื่อการเกษียณอายุ หมายถึง กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD), กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.), กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน, กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.), กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF)
3. สิทธิลดหย่อนจากมาตรการรัฐ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
- ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซื้อ เช่าซื้อ หรือสร้างอาคารที่อยู่อาศัย : สามารถนำมาลดหย่อนได้ตามจำนวนเงินที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท โดยต้องมีหนังสือรับรองตามแบบที่อธิบดีกำหนด
- โครงการ Easy e-Receipt : ค่าซื้อสินค้าหรือบริการในประเทศตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 ถึง 15 กุมภาพันธ์ 2567 สามารถนำใบกํากับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ลดหย่อนภาษีได้ตามจำนวนที่จ่ายจริงรวม VAT แต่สูงสุดไม่เกิน 50,000 บาท และจะต้องเป็นสินค้าที่มีใบกำกับภาษีและใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) หรือใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt) ตามระบบของกรมสรรพากรเท่านั้น
- เที่ยวเมืองรอง : มาตรการลดหย่อนภาษีปี 2567 เที่ยวเมืองรอง 55 จังหวัด สามารถนำค่าที่พักที่จ่ายจริง มาลดหย่อนภาษีไม่เกิน 15,000 บาท โดยต้องมีใบกำกับภาษีแบบเต็มในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านระบบใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice & e-Receipt)
4. เงินบริจาค
- เงินบริจาคทั่วไป : สามารถลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินร้อยละ 10 ของรายได้หลังหักค่าใช้จ่าย และค่าลดหย่อน
- เงินบริจาคลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า : เงินบริจาคให้สถานศึกษาทั้งของรัฐและเอกชน กีฬา สถานพยาบาลของรัฐ และเงินบริจาคพิเศษผ่าน e-Donation สามารถนำมายื่นลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่าของจำนวนเงินที่จ่ายไปจริง แต่ไม่เกินร้อยละ 10 ของรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน
- เงินบริจาคพรรคการเมือง : สามารถลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10,000 บาท โดยจะต้องมีเอกสารมาแสดง คือใบเสร็จรับเงินหรือหลักฐานอื่นใดที่พิสูจน์ได้ถึงการบริจาคให้พรรคการเมืองดังกล่าว
หลังจากที่ได้ทราบแนวทางการวางแผนค่าลดหย่อนภาษีของปี 2567 กันไปแล้ว คงพอจะทำให้คนทำงานหลาย ๆ คนตระหนักได้ถึงความสำคัญของสิทธิในการลดหย่อนภาษีต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการอุปการะเลี้ยงดูพ่อแม่ การซื้อกองทุนลดหย่อนภาษี การซื้อประกันชีวิตหรือประกันสุขภาพ
การบริจาค หรือจะเป็นการใช้สิทธิซื้อสินค้าและบริการแล้วเก็บ e-Tax Invoice ลดหย่อนภาษี ก็สามารถช่วยให้ได้รับเงินภาษีคืนเพิ่มมากขึ้น คำถามต่อมาก็คือ แล้วเราควรนำเงินภาษีที่ได้รับคืนนั้นมาทำอะไรดี
ต้องบอกเลยว่า เงินคืนภาษีนั้นเปรียบเสมือนเงินก้อนพิเศษ คล้ายกับเงินโบนัสที่เราได้รับจากรัฐบาล เพราะไม่ใช่ทุกคนจะได้รับเงินภาษีคืน ขึ้นอยู่กับการวางแผนภาษีของแต่ละคนนั่นเอง ดังนั้นเงินก้อนนี้จะต้องนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อให้คุ้มค่ากับเวลาที่รอคอย ซึ่งการนำเอาเงินคืนภาษีไปลงทุนต่อยอดให้เงินงอกเงย ดูจะเป็นทางเลือกที่ดีและน่าสนใจเป็นอย่างมาก
หากท่านไหนที่สนใจเกี่ยวกับระบบ SunSystems, CheckSCM หรือบริการอื่นๆ ของ IMAS สามารถติดต่อได้ที่ Chanaporn@i-mas.net หรือ sunsupport@i-mas.net สอบถามเพิ่มเติม โทร 02-6667400 หรือ Line Official : @imas.official (มี @ ด้วยนะครับ)
Reference : https://www.krungsri.com/th/krungsri-the-coach/taxes/tax-knowledge/tax-deductions-2567-summary